ภาพร่างแพลตฟอร์มนกสีฟ้าในเงื้อมมือ Elon Musk

หลังเป็นประเด็นถกเถียงมานานหลายเดือน ในที่สุด Elon Musk ก็ผงาดรั้งตำแหน่งบอสใหญ่ของ Twitter ด้วยศักยภาพยิ่งใหญ่ที่เขาเคยรับปากว่าพร้อมจะใช้มันอย่างเต็มที่ทำให้ในเวลานี้ทุกสายตาต่างจับจ้องถึงความเปลี่ยนแปลงที่ซีอีโอพันล้านของ Tesla และผู้ร่วมก่อตั้ง SpaceX จะนำมาสู่หนึ่งในแพลตฟอร์มเครือข่ายทางสังคมที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก

บอสคนใหม่

สิ่งที่ Musk ตัดสินใจทำเป็นอันดับแรกๆ ก็คือการปลดบรรดาผู้บริหารระดับสูงๆ พ้นจากเก้าอี้ไล่ตั้งแต่ Parag Agrawal ซีอีโอใหญ่ Ned Segal หัวหน้าฝ่ายการเงิน และ Vijaya Gadde ประธานด้านกฎหมาย ซึ่ง Jasmine Enberg นักวิเคราะห์จาก Insider Intelligence มองว่าในการหาคนมาแทนตำแหน่งดังกล่าว Musk จะต้องหาทางกล่อมให้เหล่าผู้บริหารเก่าแก่ยอมปักหลักทำงานกับแพลตฟอร์มที่เขาเคยวิจารณ์อย่างหนักให้ได้

ในเบื้องต้น Musk น่าจะต้องรับตำแหน่ง CEO ของ Twitter ไปก่อน จากนั้นก็จะต้องรับมือกับบรรดาพนักงานลูกจ้างระดับล่างๆ ที่กำลังวิตกกังวลกับกระแสข่าวที่ว่าเขาต้องการปลดพนักงานออกถึงร้อยละ 75 หรือราว 5,500 ตำแหน่ง ในเรื่องนี้ Enberg เชื่อว่าเป็นสถานการณ์ที่กำลังตึงเครียดมากในเวลานี้ เนื่องจากมีความเป็นไปได้ที่ทีมวิศกรและฝ่ายโปรดักชั่นจะโดนยกเครื่องใหม่

เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

Musk ซึ่งอธิบายตัวเองว่าเป็นนักนิยมเสรีภาพทางความคิดตัวยงเปิดเผยก่อนปิดดีลเทคโอเวอร์กิจการของ Twitter แบบเบ็ดเสร็จเมื่อวันพฤสบดีที่ผ่านมาว่าต้องการจะเปลี่ยน Twitter จากแพลตฟอร์มที่น่ารังเกียจไปเป็นเครือข่ายทางสังคมที่อบอุ่นและพร้อมต้อนรับคนทั้งโลก

Musk เคยโจมตีเรื่องและต่อสู้เรื่องการคัดกรองเนื้อหาที่เป็นการรุกรานจนนำไปสู่การเซ็นเซอร์โพสต์ที่มาจากบรรดากระบอกเสียงฝ่ายขวาและขวาสุดโต่ง ในเรื่องนี้ Scott Kessler จาก Third Bridge บอกว่ามีพนักงานของ Twitter ราว 600 คนและอีกหลายพันคนจากบริษัทภายนอกที่คอยทำหน้าที่ตรวจสอบคอนเทนท์ ซึ่ง Musk เคยประกาศว่าอยากให้นำระบบอัลกอริธึ่มมาขับเคลื่อนแทนมนุษย์

บอสใหญ่จาก Tesla ยังแอบใบ้ด้วยว่าเขาอาจจะปลดล็อกให้อดีตประธานธิบดี Donald Trump ซึ่งถูกระงับบัญชีไปตั้งแต่เหตุการณ์โจมตีที่ Capitol Hill เมื่อปี 2021 กลับมาใช้งานแพลตฟอร์ม Twitter ได้อีกครั้ง และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาอดีตผู้นำสหรัฐฯ ก็ออกมาแสดงความเห็นผ่าน Truth Social สื่อโซเชียลของตัวเองว่า Twitter อยู่ในมือของคนเก่งแล้ว

อีกหนึ่งประเด็นที่ Musk พบว่าเป็นเรื่องที่กวนใจและน่ารำคาญอย่างมาก็คือเรื่องบัญชีปลอม เขาเคยถึงขั้นขู่จะล้มการเจรจาซื้อขายมาแล้วเพราะไม่พอใจบัญชีผีหรือบัญชีบอทจำนวนมหาศาลบน Twitter แต่ถึงตรงนี้เจ้าตัวก็ไม่เคยเปิดเผยว่าจะมีวิธีจัดการกับปัญหานี้อย่างไร

รสนิยมที่ผู้โฆษณาไม่ปลื้ม

อีกหนึ่งความท้าทายที่ Elon Musk จะต้องเผชิญก็คือการทำให้ Twitter มีสุขภาพทางการเงินที่ดีขึ้นหลังต้องเจอกับปัญหาการเติบโตที่ชะลอตัวจนทำให้ต้องประสบกับสภาวะขาดทุนในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา Musk เคยเสนอทางเลือกในการเพิ่มรายได้ให้กับ Twitter เอาไว้เช่น การเพิ่มจำนวนสมาชิกแบบเสียเงิน การทำเงินจากการเผยแพร่ทวีตข้อความซึ่งกำลังได้รับความนิยม หรือการจ่ายเงินให้กับนักสร้างคอนเทนท์

รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาระบุว่า ไทคูนคนดังออกมาเรียกร้องให้ผู้โฆษณาบน Twitter ผนึกกำลังกันเพื่อสร้างสิ่งที่พิเศษมากๆ ขึ้นใหม่ พร้อมย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการเปิดรับความหลากหลายทางความคิดผ่านแพลตฟอร์มนกสีฟ้า

Susannah Streeter ผู้วิเคราะห์การตลาดและการลงทุนจาก Hargreaves Lansdown มองว่า Musk ต้องการดึงดูดยูสเซอร์หน้าใหม่ให้หันมามาใช้ Twitter มากขึ้น แต่เขาจะต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ในการสร้างและรักษารายได้ไปพร้อมกัน แต่ก็ต้องยอมนรับความจริงด้วยว่า การแสดงความคิดเห็นเชิงโต้แย้งในแบบที่เขาดูเหมือนจะอยากให้มีมากขึ้นและทำได้อย่างอิสระภายในห้องที่จุคนทั้่งโลกเอาไว้จะกลายมาเป็นสิ่งที่นักโฆษณาไม่ปลื้มเอาเสียเลย

เมื่อเร็วๆ นี้ถึงกับมีการรวมตัวกันของประชาชนเพื่อเรียกร้องให้บรรดาแบรนด์ชั้นนำช่วยกันใช้อิทธิพลที่มีในการกีดกัน Musk จากการเปิดพื้นที่ให้กับการแสดงความคิดเห็นแบบสุดโต่ง ในเรื่องนี้ Media Matters for America องค์กรเฝ้าระวังทางสังคมแบบไม่หวังผลกำไรระบุว่า การที่ Twitter มีรายได้หลักถึงร้อยละ 90 มาจากโฆษณาคือข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าบรรดาเอเยนซี่โฆษณารายใหญ่ของ Twitter พร้อมจะผลักให้ Musk เป็นผู้รับผิดชอบอนาคตของแพลตฟอร์มนกสีฟ้าแต่เพียงคนเดียว หากเจ้าตัวหวังนำแพลตฟอร์มระดับโลกกลับสู่ยุคที่ไร้ซึ่งมาตรการป้องกันการคุกคาม ล่วงละเมิดและการเผยแพร่ข่าวสารที่ผิดๆ

ที่มา

thechetter

นักเขียนที่ขยันขันแข็งและมุ่งมั่นที่จะผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ เรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ เชื่อว่าเนื้อหาที่ดีสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกได้