การบริหารด้านการตลาดเป็นกระบวนการที่ใช้หลักเกณฑ์เหมือนกับการบริหารทั่วไป ซึ่งประกอบด้วย ขั้นตอนการวางแผนการตลาด การปฏิบัติการตามแผนการตลาด และการประเมินผลการทำงานทางการตลาด แต่ทุกขั้นตอนของการบริหารมีกลไกพื้นฐานที่ผู้ประกอบการจะต้องมีข้อมูลหรือมีสิ่งที่ควรรู้ก็คือ Demand & Supply ทั้งสองประโยคนี้คืออะไรและสำคัญอย่างไรต่อการบริหารด้านการตลาด บทความนี้มีคำตอบ
Demand Supply คืออะไร
ในทางเศรษฐศาสตร์ Demand Supply เป็นแบบจำลองพื้นฐานที่อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าในตลาดที่มีการแข่งขันโดยที่ตัวผู้ซื้อและผู้ขายไม่สามารถต่อรองราคาหรือมีอำนาจในการกำหนดราคาตลาดได้เอง Demand & Supply มีความหมาย ดังนี้
อุปสงค์ (Demand)
หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งได้แก่ ปริมาณสินค้าที่ผู้ซื้อเต็มใจจะจ่ายเงินเพื่อสินค้านั้น โดยที่ผู้ซื้อจะต้องมีอำนาจซื้อด้วย และปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปสงค์ คือ อะไรก็ได้ที่เป็นเหตุหรือส่งผลต่อความต้องการซื้อ เช่น รายได้ รสนิยม กระแสของตลาด รวมไปถึงปัจจัยอื่น ๆ อย่างฤดูกาล เป็นต้น
อุปทาน (Supply)
หมายถึง ปริมาณความต้องการเสนอขายสินค้าและบริการ ซึ่งได้แก่ ปริมาณสินค้าทีที่ผู้ขายเต็มใจเสนอขายสินค้านั้น ทั้งนี้ผู้ขายจะต้องสามารถหาสินค้านั้นมาให้กับผู้ซื้อได้ และปัจจัยเบื้องต้นที่ส่งผลต่ออุปทาน คือ ราคาสินค้า ราคาสินค้าทดแทน และต้นทุนการผลิตสินค้า
กฎของ Demand
กฎของ Demand ก็คือ กฎที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างความต้องการซื้อสินค้ากับราคาของสินค้า โดยความสัมพันธ์ของความต้องการซื้อสินค้า กับระดับราคาสินค้า มีดังนี้
- เมื่อราคาสินค้าเพิ่มมากขึ้น ความต้องการซื้อสินค้าจะลดลง
- เมื่อราคาสินค้าลดลง ความต้องการสินค้าจะเพิ่มมากขึ้น
กฎของ Supply
กฎของ Supply คือ กฎที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ความต้องการขายสินค้ากับราคาสินค้าที่แสดงให้เห็นว่าระดับความต้องการขายสินค้าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงในทิศทางเดียวกับระดับราคาสินค้า โดยลักษณะความสัมพันธ์ของความต้องการขายสินค้า กับระดับราคาสินค้า มีดังนี้
- เมื่อราคาสินค้าเพิ่มมากขึ้น ความต้องการขายสินค้าจะเพิ่มขึ้น
- เมื่อราคาสินค้าลดลง ความต้องการขายสินค้าจะลดลง
ปัจจัยกำหนดอุปสงค์ (Demand)
ปัจจัยกำหนดอุปสงค์ คือตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งมีอิทธิพลต่อจำนวนสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการจะซื้อ มากน้อยไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับช่วงเวลาในการตัดสินใจซื้อ และพฤติกรรมของผู้บริโภคแต่ละคน ปัจจัยที่มีผลต่อความต้องการซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้ซื้อมีอยู่หลายปัจจัย ดังนี้
1. ระดับราคาสินค้าชนิดนั้น
ระดับราคาสินค้า เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดจำนวนเสนอซื้อสินค้าของผู้บริโภค หรือลูกค้าหากระดับราคาสินค้าสูงขึ้น ผู้บริโภคจะมีความต้องการซื้อสินค้านั้นลดลง และในทางตรงกันข้าม ถ้าระดับราคาสินค้าลดลง ผู้บริโภคก็จะมีความต้องการเสนอซื้อสินค้านั้นเพิ่มขึ้น
2. รายได้ของผู้บริโภค
รายได้จะมีผลต่อความสามารถในการใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการของผู้บริโภค รายได้ของผู้บริโภคสูงขึ้น ก็จะส่งผลทำให้ความต้องการเสนอซื้อสินค้าของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น และถ้ารายได้ของผู้บริโภคหรือลูกค้าลดลง ก็จะส่งผลทำให้ความต้องการซื้อสินค้าลดลงด้วย
3. ราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง
ราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นปัจจัยเที่อาจมีสาเหตุมาจากผู้บริโภคมีรายได้จำกัดการตัดสินใจซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งนอกจากจะพิจารณาจากระดับราคาสินค้าชนิดนั้นและรายได้แล้ว ยังต้องพิจารณาราคาสินค้าชนิดอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งสินค้าที่มีความเกี่ยวข้องอาจเป็นสินค้าที่ใช้ทดแทนสินค้านั้นได้
4. รสนิยม
รสนิยม คือความชอบส่วนตัว เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่ออุปสงค์ของสินค้า เมื่อผู้บริโภคมีความชอบในสินค้าชนิดหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป อุปสงค์ของสินค้านั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย
5. การคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต
การคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต เป็นปัจจัยหนึ่งในการคาดการณ์เกี่ยวกับรายได้ของผู้บริโภคและราคาสินค้าและบริการในอนาคต ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออุปสงค์หรือความต้องการเสนอขาย ตัวอย่างเช่น หาราผู้บริโภคคาดว่าในอนาคตจะมีรายได้เพิ่มขึ้น การบริโภคในปัจจุบันของเขาก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคต้องการซื้อเพิ่มขึ้น แต่ในอนาคตคาดว่ารายได้จะลดลง การบริโภคในปัจจุบันก็จะลดน้อยลง ทำให้จำนวนสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคต้องการซื้อลดลง
6. ฤดูกาล
ฤดูกาล ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการเสนอขาย เนื่องจากจำนวนสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องการอาจมีปริมาณเพิ่มขึ้นหรือลดลงซึ่งขึ้นอยู่กับฤดูกาลต่าง ๆ ด้วย เช่น ในฤดูหนาวจะมีความต้องการซื้อเสื้อหนาวเพิ่มมากขึ้น ส่วนในฤดูร้อนก็จะมีความต้องการซื้อร่มเพื่อใช้กันฝนมากขึ้น เป็นต้น
7. สภาพเศรษฐกิจของประเทศ
ปัจจัยที่เกิดจากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง ย่อมทำให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นความต้องการสินค้าและบริการย่อมเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ในทางตรงกันข้ามหากเศรษฐกิจของประเทศซบเซาตกต่ำ ย่อมทำให้ความต้องการสินค้าและบริการลดน้อยลงตามไปด้วยเนื่องจากผู้บริโภคมีรายได้น้อยลง
ปัจจัยกำหนดอุปทาน (Supply)
- ราคาตลาด เป็นปัจจัยกำหนดปริมาณอุปทานที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับราคาตลาด
- ราคาปัจจัยการผลิต ซึ่งเป็นต้นทุนอย่างหนึ่งของผู้ผลิต
- เทคโนโลยี ความทันสมัยของเทคโนโลยีที่ผู้ประกอบการเลือกใช้เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งในการ
- กำหนดอุปทาน หรือ Supply ซึ่งเป็นความต้องการในการเสนอขายสินค้าและบริการ
- จำนวนผู้ผลิต หากจำนวนผู้ผลิตมากขึ้นก็จะส่งผลทำให้อุปทานทั้งตลาดเพิ่มมากขึ้น
สรุป Demand & Supply
Demand & Supply คือ กลไกพื้นฐานด้านการตลาดที่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักสำหรับการวิเคราะห์และใช้เป็นเครื่องมือบริหารด้านการตลาดเพื่อให้ทราบความต้องการซื้อของผู้บริโภค ที่จะส่งผลทำให้เกิดความสมดุลต่อความต้องการเสนอขายของผู้ผลิตหรือผู้ประกอบการ เมื่อ Demand และ Supply มีความสัมพันธ์กันโอกาสประสบความสำเร็จขององค์กรธุรกิจก็เป็นไปได้ไม่ยาก